ตามนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานร่วมกันบูรณาการในการเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ และใช้มาตรการยึดทรัพย์ในการดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดเพื่อตัดความสามารถในการกลับมากระทําความผิดซ้ําอีก
จากนโยบายดังกล่าวพล.ต.อ.สุวฒัน์แจ้งยอดสุขผบ.ตร.จึงได้สั่งการให้ศูนย์พิทักษ์เด็กสตรีครอบครัวป้องกัน ปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ ผอ.ศพดส.ตร., พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร. โดยประสานความร่วมมือกับ พล.ต.ต.ปิ ยะพันธ์ ปิงเมือง เลขา ปปง., พ.ต.ท.ธีรพงษ์ ดุลยวิจารณ์ ผอ.คด.4 ปปง., นางชลธิชา ดาวเรือง ผอ.คด.3 ปปง. เจ้าหน้าที่ ปปง.และชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ร่วมกันวางแผนตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้กระทําผิดฐานค้ามนุษย์และฐานความผิดที่ เกี่ยวข้องในคดีอาญาฟอกเงิน เพื่อเป็นการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ไม่ให้สามารถกลับมาทําผิดได้อีก
การปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ในพื้นที่ ภ.6 และ ภ.8 นี้ เริ่มต้นจาก เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 เจ้าหน้าที่ตํารวจ ภ.8 สามารถจับกุมขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา ในพื้นที่ สภ.มาบอํามฤต ภ.จว.ชุมพร จํานวน 2 คดี และ สภ.เขานิพันธ์ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี จํานวน 1 คดี โดยจับกุมผู้ต้องหา รวม 8 คน (ไทย 7 คน เมียนมา 1 คน) พร้อมแรงงาน ชาวโรฮิงญาอีก 14 คน โดยได้ดําเนินคดีในความผิดฐานค้ามนุษย์ ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและ พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ
จากการสืบสวนพบว่า ขบวนการดังกล่าวนั้นมีการลักลอบขนแรงงานชาวโรฮิงญาเข้ามาในราชอาณาจักรจากฝั่ง อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อไปส่งจุดหมายปลายทางที่ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ กลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวข้างต้น ยังมีพฤติการณ์และ เส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาที่เคยถูกจับกุมในความผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวโรฮิงญาอีกคดี หนึ่ง ซึ่งถูกจับเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2562 ที่ สภ.ทุ่งสง ภ.จว.นครศรีธรรมราช จํานวน 1 คดี มีผู้ต้องหาจํานวน 5 ราย (ไทย 1 คน เมียนมา 4 คน) ต่อมาสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จงึ มีคําสั่งแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคําสั่งที่ 56/2565 ลง วันที่ 11 ก.พ.65 เพื่อทําหน้าที่สืบสวนสอบสวนขยายผลเครือข่ายลักลอบขนแรงงานต่างด้าวดังกล่าวเพิ่มเติม
จากการขยายผลจากเครือข่ายดังกล่าว สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้เพิ่มอีกจํานวน 9 คน (คนไทย 4 คน, เมียนมา 5 คน) ซึ่งทําหน้าที่เป็นเอเย่นในการนําพาคนข้ามแดนเข้ามายังประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ผู้ต้องหาดังกล่าวถูกดําเนินคดี ใน ความผิดฐาน ร่วมกันนําหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ร่วมกันให้ที่พักพิง ซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุมและมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวมจํานวน 3 คดี (สภ.เขานิพันธ์ 1 คดี และ สภ.มาบอํามฤต 2 คดี)
นอกจากนี้ หลังจากที่ได้ทําการสอบสวนขยายผลแล้วพบว่า เส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาในคดีต้นนั้น มีความ เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2562 ในพื้นที่ สภ.ทุ่งสง ภ.จว.นครศรีธรรมราช ซึ่งศาลจังหวัดทุ่ง สงได้มีคําพิพากษาให้จําเลยจํานวน 3 คน ซึ่งถูกจับกุมดําเนินคดีฐานค้ามนุษย์ ศาลได้พิพากษาจําคุกจําเลยรายละ 6 ปีไปแล้ว นั้น คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนจึงได้ดําเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาในคดีนี้รวมกับจําเลยดังกล่าวเพิ่มเติมในความผิดฐานฟอก เงินโดยกระทําด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออําพราง การจําหน่ายจ่ายโอน การได้มาซึ่งทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทํา ความผิดและสมคบตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงิน อีกจํานวน 2 คดี โดยได้ขออนุมัติจับกุมผู้ต้องหา รวม 23 คน (คนไทย 13 คน เมียนมา 10 คน) และยังได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาลอาญา เพื่อเข้าทําการตรวจค้นยึดทรัพย์และ อายัดบัญชีผู้ต้องหาในพื้นที่ 12 จังหวัด เพื่อตรวจค้นเป้าหมาย 19 เป้าหมาย ผลการปฏิบัติ ดังนี้
- สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 18 คน หลบหนี 5 คน (สัญชาติเมียนมา) 2. อายัดบัญชีผู้ต้องหาจํานวน 53 บัญชี เงินหมุนเวียน 1,630 ล้านบาท 3. ตรวจยืดบ้านพร้อมที่ดิน 23 หลัง
- รถยนต์ 24 คัน
- ยึด/อายัดเรือประมง 12 ลํา
- ทองรูปพรรณ 37 บาท
- พอร์ตทองคํา 46.4 ล้านบาท
และทรัพย์สินอื่นๆ อีกจํานวนหลายรายการ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดอายัด ทั้งหมด 196.4 ล้านบาท นอกจากการดําเนินการกับผู้ต้องหาทั้งหมด ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จากการสืบสวนพบว่า ก่อนที่กลุ่มชาวโรฮิงญาถูกจับกุมดําเนินคดีเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 จะถูกตรวจพบนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการขนแรงงานต่าง ด้าวดังกล่าว เป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจสังกัด ตชด.346 จว.ตาก จํานวน 3 คน มีพฤติการณ์กระทําผิดร่วมกับนายอาลี ลาลู ผู้ต้องหาในคดี โดยนายอาลีฯ ได้เรียกรับเงินจากชาวโรฮิงญาจํานวน 16 คน ซึ่งถูกกักตัวอยู่ในศูนย์ Organizational Quarantine (OQ) หรือ สถานท่ีกักตัวแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองในช่วงสถานการโควิด โดยได้เรียกเงินคนละ 20,000 – 25,000 บาท เพื่อแลกกับการช่วยเหลือออกจากศูนย์ และนําตัวไปผลักดันออกช่องธรรมชาติให้กับขบวนการดังกล่าว เพื่อจะ ลักลอบนํากลับเข้ามายังไทยอีกครั้ง โดยนายอาลีฯ ได้แบ่งเงินให้กับกลุ่มเจ้าหน้าท่ีรัฐดังกล่าวเป็นเงินจํานวน 90,000 บาท ก่อนจะถูกจับกุมดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าท่ีตํารวจได้รวบรวมพยานหลักฐานดําเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ตชด. 346 ทั้ง 3 ราย ดังนี้
- ด.ต.ปรีชา สีจ๊ะแปง ผบ.หมู่ ตชด.346 ถูกจับกุมตามหมายจับศาลทุจริตและประพฤตมิชอบ ภาค 6 ที่ จ.2/2565 ลงวันท่ี 30 มี.ค.65 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ หนึ่งผู้ใด ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยทุจริต จับกุมเมื่อวันท่ี 27 ก.ค.65
- พ.ต.ท.อรรถชัย ออมสินสมบูรณ์ ผบ.ร้อย ตชด. 346
- ร.ต.ท.สุรพล ฉายะสุโข รอง ผบ.ร้อย ตชด. 346
ทั้งสองราย พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา ในความผิดฐาน ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพ่ือให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยทุจริต นําส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด จว.ตาก ดําเนินคดีตามกฏหมาย
จากกรณีดังกล่าว เจ้าหน้าท่ียังได้สืบสวนจนพบว่า มีเจ้าหน้าท่ีตํารวจสังกัด ตม.จว.แม่สอด จํานวน 3 นาย และ เจ้าหน้าที่ตํารวจ สังกัด สภ.แม่สอด จํานวน 4 นาย (รวม 7 นาย) อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการเรียกรับเงินจากแรงงาน ต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนเข้าไปมีส่วนในการอํานวยความสะดวกท้ังทางตรงและทางอ้อมกับ ขบวนการหลบหนีเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าวซึ่งคณะทํางานมีมติในที่ประชุมให้จเรตํารวจแห่งชาติและผู้บังคับบญั ชา ดําเนินการตรวจสอบและลงโทษทางวินัยกับข้าราชการตํารวจท่ีเก่ียวข้องต่อไป
สรุปการดําเนินการเกี่ยวกับการดําเนินคดีค้ามนุษย์ในพื้นที่ ภ.6 และ ภ.8 ดังกล่าว มีการดําเนินคดีรวมทั้งสิ้น 10 คดี ดําเนินคดีกับผู้ต้องหารวมท้ังสิ้น 39 ราย มีการยึดอายัดทรัพย์สินจากคดีฟอกเงินได้รวมท้ังสิ้น 196.4 ล้านบาท โดย ล่าสุดได้ทําการตรวจยึดพอร์ตทองคํามูลค่า 46.4 ล้านบาท
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การดําเนินคดีกับเครือข่ายการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวและเครือข่ายค้ามนุษย์ในครั้งนี้ นับเป็นอีกครั้งที่เจ้าหน้าที่จากหลายภาคส่วน ได้มาบูรณาการร่วมกันในการปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจังและเป็น ระบบ มีการดําเนินการกับทั้งคนนําพาข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้ เครือข่ายค้ามนุษย์สามารถกระทําความผิดได้ รวมทั้งยังมีการยึดอายัดทรัพย์สินจากผู้ต้องหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย การกระทําผิดดังกล่าว เพื่อมิให้มีทรัพย์สินที่จะนํามาใช้ในการกระทําผิดซ้ำได้อีก ดังนั้นจากนี้ไปคดีค้ามนุษย์ก็จะมีการ ดําเนินคดีอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การปราบปรามเครือข่ายผู้กระทําผิดนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น